อบรมเพิ่มพูนทักษะและสมรรถนะผู้ช่วยพยาบาล 2566

ESI triage

การคัดกรองและการซักประวัติเบื้องต้น

การเตรียมอุปกรณ์และการเจาะเลือดเก็บสิ่งส่งตรวจต่างๆ

การประคบร้อนเย็น

การประเมินอาการผู้ป่วยขณะรอตรวจ

การวัดสัญญาณชีพและการประเมินผล

EKG 12 leads

EKG monitor

PTT risk awarenwss

การบริหารยา

การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ

การเตรียมเฝือกชนิดต่างๆ

การล้างตา

การสวนอุจจจาระ

การใส่ NG tube

กรมควบคุมโรค เตือนระวังการนำเห็ดป่ามาปรุงอาหาร อาจเป็น “เห็ดพิษ” เสี่ยงเสียชีวิตได้ “เห็ด ไม่รู้จัก ไม่แน่ใจ ไม่เก็บ ไม่กิน”

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนให้ระวังการเก็บเห็ดป่ามาปรุงอาหาร เนื่องจากเห็ดที่ขึ้นในป่ามีลักษณะคล้ายกันจนบางครั้งไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นเห็ดที่กินได้ หรือเห็ดพิษ และเมื่อกินเห็ดพิษเข้าไปจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจเสียชีวิตได้ หากไม่รู้จัก ไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าเป็นเห็ดพิษไม่ควรนำมาปรุงอาหาร

วันนี้ (21 กันยายน 2565) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้มีฝนตกลงมาหลายพื้น ทำให้เห็ดหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเห็ดป่าในพื้นที่ธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งเห็ดกินได้ และเห็ดพิษ เมื่อเห็ดอยู่ในระยะดอกตูม จะมีความคล้ายคลึงกันมาก จนไม่สามารถแยกด้วยตาเปล่าได้ว่าเป็นเห็ดกินได้หรือเห็ดพิษ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และนำเห็ดพิษมาปรุงประกอบอาหาร จากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ 1 มกราคม – 19 กรกฎาคม 2565 พบเหตุการณ์โรคอาหารเป็นพิษจากการรับปประทานเห็ดพิษ จำนวน 6 เหตุการณ์ ผู้ป่วยรวม 25 ราย (สงขลา 8 ราย ตาก 10 ราย เชียงใหม่ 5 ราย อุบลราชธานี 2 ราย) และผู้เสียชีวิต 2 ราย ที่จังหวัดอุดรธานี

สำหรับเห็ดพิษที่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตส่วนใหญ่ เช่น 1) เห็ดระโงกพิษ หรือบางที่เรียกว่าเห็ดระโงกหิน เห็ดระงาก เห็ดไข่ตายซาก ซึ่งเห็ดชนิดนี้คล้ายคลึงกับเห็ดระโงกขาว ที่กินได้ แต่มีลักษณะต่างกัน คือ เห็ดระโงกพิษ รอบขอบหมวกไม่มีรอยขีด ผิวก้านเรียบหรือมีขนเล็กน้อย ถุงหุ้มโคนรูปถ้วยแนบติดกับโคนก้าน เมื่อผ่าก้านดูจะมีลักษณะตัน  2) เห็ดถ่านเลือด มีลักษณะคล้ายกับเห็ดถ่านเล็กที่กินได้ ขนาดดอกจะเล็กกว่า และไม่มีน้ำยางสีแดงส้ม  3) เห็ดเมือกไครเหลือง ที่ประชาชนมักสับสนกับเห็ดขิง ซึ่งชนิดที่เป็นพิษจะมีเมือกปกคลุมและมีสีดอกเข้มกว่า  4) เห็ดหมวกจีน มีความคล้ายกับเห็ดโคนที่กินได้ เป็นต้น

“สำหรับวิธีทดสอบความเป็นพิษของเห็ดโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ต้มเห็ดกับข้าวหรือหอมแดงถ้าเป็นเห็ดพิษจะทำให้ข้าวเปลี่ยนสี หรือจุ่มช้อน หรือตะเกียบเงิน หรือเครื่องเงินแล้วจะทำให้เงินเป็นสีดำนั้นไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะเห็ดระโงกพิษที่มีสารที่ทนต่อความร้อน แม้จะนำมาทำให้สุกแล้วก็ไม่สามารถทำลายพิษได้” นายแพทย์โอภาส กล่าว

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อกินเห็ดเข้าไปแล้วมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อย่าล้วงคอหรือกินไข่ขาวดิบเพื่อกระตุ้นให้อาเจียน เพราะอาจทำให้เกิดแผลในคอ และการกินไข่ขาวดิบจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยท้องเสียเพิ่ม หรือติดเชื้อได้ และหากปล่อยไว้นานผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงตามมาคือการทำงานของตับและไตล้มเหลว อาจเสี่ยงทำให้เสียชีวิต ดังนั้น ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งประวัติการกินเห็ดโดยละเอียด พร้อมนำตัวอย่างหรือภาพถ่ายเห็ดไปด้วย เพื่อรับการรักษาได้อย่างถูกวิธี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

*********************************

ข้อมูลจาก : กองโรคติดต่อทั่วไป/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค

วันที่ 21 กันยายน 2565

กรมควบคุมโรค พยากรณ์โรคฯ ฉบับที่ 26/2565 “เตือนประชาชนในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงระวังป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง แนะรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

กรมควบคุมโรค ขอเผยแพร่ “พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์”

ฉบับที่ 26/2565 ประจำสัปดาห์ที่ 27 (วันที่ 3 – 9 ก.ค. 65)

“จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 27 มิถุนายน 2565 มีรายงานพบผู้ป่วย 2,820 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ อายุ 15-24 ปี (11.45%) รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี (10.11%) และกลุ่มเด็กแรกเกิด – 1 ปี ( 9.93%) จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นราธิวาส เชียงราย ตาก น่าน และพิษณุโลก ตามลำดับ จากรายงานผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจากการเฝ้าระวังเหตุการณ์จากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 27 มิถุนายน 2565 มีรายงานเหตุการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สะสม 2 เหตุการณ์  จากจังหวัดลำปาง 1 เหตุการณ์ (2 มิ.ย.65) พบผู้ป่วย จำนวน 74 ราย และจังหวัดนราธิวาส 1 เหตุการณ์ (15 ม.ค.65) พบผู้ป่วย จำนวน 26 ราย”

“การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพของสัปดาห์นี้ คาดว่ามีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงฤดูฝนเป็นฤดูกาลระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับผ่อนคลายมาตรการต่างๆ มากขึ้น ประชาชนควรดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และโรคโควิด 19 โดยการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในบริเวณที่ชุมชน เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวรวมกับคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ และเมื่อมีอาการป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัด รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

ในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว ควรได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสคนละชนิดกัน ประชาชนสามารถฉีดวัคซีนได้ทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันได้เลย แต่ให้ฉีดที่แขนคนละข้าง และสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่

1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป

2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

3.ผู้มีโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน

4.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป

5.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้

6.โรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งรวมผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ

7.โรคอ้วน คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือ มีดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ลดความรุนแรงของโรค และลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยได้   กรมควบคุมโรค จึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน และที่สถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2565 สามารถสอบถามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422”

*******************************************************

ข้อมูลจาก : ทีม SAT / สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค

วันที่ 6 กรกฎาคม 2565

กรมการแพทย์ชี้ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” พบบ่อยในคนไทย

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรมศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็น 1 ใน 10 ของมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย พบมากเป็นอันดับ 5 ในเพศชาย และอันดับ 9 ในเพศหญิง แต่ละปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 4,300 ราย และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,300 ราย  หรือคิดเป็น 4 คนต่อวัน มะเร็งชนิดนี้พบได้ในทุกกลุ่มวัยและจะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดเป็นโรคมะเร็งของระบบโลหิตวิทยา หรือระบบโรคเลือด มักเกิดกับเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย เช่น บริเวณลำคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขน ข้อพับขา ในช่องอก และในช่องท้อง เป็นต้น สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากข้อมูลพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ การสัมผัสสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช รวมไปถึงการมีภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค  ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการในระยะแรกมักพบต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น ซึ่งจะคลำพบได้ง่ายในบริเวณที่อยู่ตื้น คลำได้ และอาจไม่รู้สึกเจ็บ เช่น บริเวณข้างลำคอ รักแร้ เต้านม หรือขาหนีบ นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมทอนซิลโต เหงื่อออกกลางคืน ท้องอืดแน่น ตับม้ามโตโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับในด้านวิธีรักษานั้นจำเป็นต้องพิจารณาชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะโรค อายุและภาวะสุขภาพคนผู้ป่วยโดยรวม การรักษาอาจประกอบด้วยการให้ยาเคมีบำบัด และ/หรือการให้รังสีรักษา ซึ่งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาจะให้คำแนะนำเพื่อเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับโรคและสภาวะคนไข้มากที่สุด

โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะมีผลการรักษาดี มีโอกาสหายขาดจากโรค และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระยะเริ่มแรก ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์

ที่มา:https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/175899/